Original Article/นิพนธ์ต้นฉบับ: รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาลักษณะของผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางจราจร

ชัชวาล จันทะเพชร        
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช    

บทคัดย่อ

    อุบัติเหตุทางจราจรถือเป็นปัญหาสำคัญของการสาธารณสุขของประเทศไทย  การป้องกันถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะลดอุบัติการและความรุนแรงของปัญหาดัง กล่าวได้  ทั้งนี้สิ่งจำเป็นคือต้องมีข้อมูลด้านระบาดวิทยาของอุบัติเหตุทางจราจร  การควบคุมอุบัติเหตุที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรอาจจะเนื่องจากการขาด ข้อมูลด้านระบาดวิทยาที่จำเพาะของแต่ละท้องถิ่น โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช  พอ.บนอ.   ถือเป็นโรงพยาบาลหนึ่งที่ต้องรับกับปัญหาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจาก อุบัติเหตุทางจราจร    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วยอุบัติเหตุ ทางจราจรที่มารับบริการที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินโรงพยาบาลภูมิพล อดุลยเดช  พอ.บนอ.  ตั้งแต่วันที่  1  มกราคม  พ.ศ.  2549  ถึงวันที่  31  ธันวาคม    พ.ศ.  2549  เป็นเวลา  12  เดือน  มีจำนวนผู้ป่วยทั้งสิ้น  4,881  ราย  มาใช้บริการในช่วงเวลา  8.00-16.00  น.  1,446  รายคิดเป็นร้อยละ  29.62  ช่วงเวลา  16.00-24.00 น.  2,106  รายคิดเป็นร้อยละ   43.15  และช่วงเวลา  24.00-8.00  น.  1,329  รายคิดเป็นร้อยละ  27.23  ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงในอัตราส่วน  2.73 ต่อ 1  พบว่าผู้ป่วยมีอายุอยู่ในช่วง  21-30  ปี  มากที่สุด  ลักษณะของยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางจราจรที่พบมากที่สุดได้แก่ อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์  3,907  รายคิดเป็นร้อยละ  80.04  รองลงมาคืออุบัติเหตุรถยนต์  361  รายคิดเป็นร้อยละ  7.39   ลักษณะของการบาดเจ็บที่พบมากที่สุดคือ  บาดแผลถลอก  ฉีกขาด  ฟกช้ำ  3,548  รายคิดเป็นร้อยละ  72.69  มี ผู้เสียชีวิต  10  รายคิดเป็นร้อยละ  0.20     

ABSTRACT

Title: The study of Traffic Accidental Patients at Emergency Department, Bhumibol  Adulyadej Hospital; 1stJanuary-31stDecember 2006

Recently,  traffic  accidents  are  still  a  serious  public  health  problem  of  Thailand. In order to solve this problem, the epidemiological information of traffic accident is necessary. However ,the traffic accident control is not currently successful due to lack of the epidemiological information of traffic accident .Therefore ,this research we conducted a retrospective study of traffic accident patients who were seen at the emergency room , Bhumibol Adulyadej hospital from January 1st , 2006 to December31st,2006.
There were 4,881 patients included .One thousand and four hundred and forty six patients (29.62%) were seen between 8.00 am to 4.00 pm. From 4.00 pm to midnight and midnight to 8.00 am, there were 2,106 patients (43.15%) and 1,329 patients (27.23%) respectively. Motorcycle accident was the most common (3,907 cases; 80.04%). The second was the car accident (361 cases; 7.39%). The most common type of injury was abrasion, laceration, or contusion (3,548 cases; 72.69%). Ten patients died from the traffic accident.   

คำนำ

ปัญหาอุบัติเหตุทางจราจรถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของ ประเทศ  ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากปัญหานี้เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ  โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พอ.บนอ. เป็นโรงพยาบาลที่มีทำเลที่ตั้งใกล้กับถนนสายสำคัญจากจังหวัดในภาคเหนือและ ตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งสู่กรุงเทพฯซึ่ง
มีการจราจรพลุกพล่านจึงมีผู้ป่วยด้วยอุบัติเหตุทางจราจรมาใช้บริการอยู่มาก
ผู้วิจัยมีความประสงค์ที่จะเก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยกลุ่มนี้  เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหาแนวทางป้องกัน  การให้ความรู้และทัศนคติที่ถูกต้องของการลดอุบัติเหตุทางจราจรที่เหมาะสมกับ ปัญหาต่อไปในอนาคต
กิตติกรรมประกาศ
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาทุกท่าน  ได้แก่  นาวาอากาศเอก เฉลิมพร  บุญสิริ และ  นาวาอากาศตรี ไพโรจน์  จอมไธสง  ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษาและควบคุมการทำวิจัยนี้  ตลอดจนตรวจสอบรายละเอียดและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ  ขอขอบคุณพยาบาลผู้ดูแลสมุดบันทึกรายชื่อผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ณ ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พอ. บนอ.  ที่ได้กรุณาให้ยืมสมุดบันทึกในการทำวิจัยครั้งนี้   และกำลังใจจากบิดามารดาของผู้ทำการวิจัย ที่ได้รับมาโดยตลอดจนงานสำเร็จไปได้ด้วยดี

บทนำการวิจัย

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

    การบาดเจ็บจากสาเหตุภายนอกเป็นปัญหาสาธารณสุขและสาเหตุสำคัญของการตายของ ประเทศไทย  รองจากมะเร็งและโรคหัวใจ  กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานการบาดเจ็บจาก ภายนอก ปี พ.ศ. 2542-2547  และข้อมูลผู้บาดเจ็บรุนแรงจากแบบบันทึกการบาดเจ็บปี พ.ศ.  2544-2546  พบว่า  สาเหตุของการบาดเจ็บทีเป็นปัญหาของทั้งประเทศและของโรงพยาบาลขนาดใหญ่  โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บรุนแรงคืออุบัติเหตุการขนส่ง  ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญและมีแนวโน้มที่ไม่ลดลง
อุบัติเหตุไม่เพียงแต่จะทำให้เสียชีวิต  แต่ยังทำให้เกิดความพิการและเป็นภาระของสังคม  เกิดการสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรของประเทศปีละแสนล้านบาทเศษ  หรือประมาณร้อยละ  3  ของผลิตภัณฑ์มวลรวม  และอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นตังแต่ปี พ.ศ.  2512  ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสำคัญระดับนโยบายในการควบคุมป้องกัน อุบัติเหตุมาตั้งแต่ปี พ.ศ.  2534
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช  กรมแพทย์ทหารอากาศ  เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในสังกัดของรัฐ  มีที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เปรียบเสมือนประตูขาเข้าและออกของกรุงเทพมหานครสู่ จังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ซึ่งมีถนนสายหลักสองสายคือ  พหลโยธิน  และ  วิภาวดีรังสิต  ถนนทั้งสองสายนี้มีจำนวนรถสัญจรผ่านปริมาณมาก  จึงมีการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรมากตามมาด้วย  โดยทฤษฎีองค์ประกอบของสาเหตุการบาดเจ็บได้แก่  มนุษย์   ยานยนต์  และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมักจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบตามบริบทของ พื้นที่และเวลาที่แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง  เพื่อให้ได้ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงอันจะเป็นประโยชน์ในการควบคุม ป้องกันอุบัติเหตุทางจราจรต่อไปผู้วิจัยจึงได้ทำการวิจัยเรื่องนี้ขึ้น  

วัตถุประสงค์

เพื่อศึกษาลักษณะการบาดเจ็บ, ความรุนแรง สถานที่และ ช่วงเวลาของผู้บาดเจ็บซึ่งมารับบริการที่แผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลภูมิพล อดุลยเดช ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2549 ถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
เพื่อหาแนวทางป้องกันและลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจากอุบัติภัยที่เกิดขึ้น บนท้องถนน และเตรียมตั้งรับในการให้บริการแก่ผู้ประสบเหตุที่มาโรงพยาบาลภูมิพล อดุลยเดช

วิธีดำเนินการ

รวบรวมสถิติจำนวนผู้ป่วยทุกรายที่ประสบเหตุทางจราจรที่มารับบริการที่แผนก ฉุกเฉินของโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งบันทึกในสมุดคัดกรองผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ  ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 ถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 จากนั้นนำมาศึกษาและวิเคราะห์ โดยพิจารณาข้อมูลเชิงพรรณา โดยใช้สถิติ คือ SPSS windows version 10 ในการวิเคราะห์ข้อมูลตามรายละเอียดดังนี้

1.ช่วงเวลาเกิดเหตุ  แบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้
1.1.ช่วงเวลา 8.00 – 16.00 น.
1.2.ช่วงเวลา 16.00 – 24.00 น.
1.3.ช่วงเวลา 24.00 – 8.00 น.
2.ประเภทยานพาหนะที่เกี่ยวข้องดังนี้
2.1.มอเตอร์ไซด์
2.2.รถยนต์
2.3.จักรยาน
3.ลักษณะบาดแผล โดยจัดแบ่งตามอวัยวะและความรุนแรงจากน้อยไปหามากดังนี้
3.1.บาดแผลถลอก, ฉีกขาด, ฟกช้ำดำเขียว
3.2.บาดแผลกระดูกหัก  ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมกระดูกทำการรักษาต่อไป  ซึ่งจะแบ่งย่อยอีกตามตำแหน่งที่บาดเจ็บใหญ่ ๆ ดังนี้
upper extremity ตั้งแต่หัวไหล่ ถึง ปลายนิ้วมือ
lower extremity ตั้งแต่สะโพก ถึง นิ้วเท้า
เชิงกราน
ไหปลาร้า
ใบหน้า
ซี่โครง
กระดูกสันหลัง
ข้อหลุด
รวมหลาย ๆ แห่ง
3.3.  บาดเจ็บอวัยวะภายในจากการกระแทก (blunt trauma)  ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมทั่วไปทำการรักษาต่อไป  โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
บาดเจ็บทั่วไป
บาดเจ็บในช่องอก
3.4.  บาดเจ็บทางสมอง  ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมประสาททำการรักษาต่อไป  โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตาม  Glasgow  coma   scale ดังนี้
บาดเจ็บศีรษะเล็กน้อย
บาดเจ็บศีรษะปานกลาง
บาดเจ็บศีรษะรุนแรง
3.5 เสียชีวิต

*หมายเหตุ :
ถ้าผู้ป่วยมีการบาดเจ็บตามข้อ 3.2, 3.3, 3.4, 3.5 ร่วมกับข้อ 3.1 จะถือตามข้อ 3.2, 3.3, 3.4 และ 3.5 เป็นสำคัญ

ทบทวนวรรณกรรม

ความจำเป็นในการศึกษาอุบัติเหตุจราจร

อุบัติเหตุเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  ทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก  อุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายรองมาจากมะเร็งและโรคหัวใจ  อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนมากเป็นอุบัติเหตุจากการขนส่ง  รวมทั้งคนเดินเท้าที่ด้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากการ ขนส่ง  และอุบัติเหตุจากการขนส่งทางบกอื่นๆ  ผลของอุบัติเหตุที่มีความสำคัญไม่ด้อยไปกว่าการตายจากอุบัติเหตุคือ  ภาวะทุพพลภาพที่เกิดตามมา  ซึ่งมีอัตราการเกิดมากเป็น  2-3  เท่าของอัตราการเสียชีวิต  ความสูญเสียที่สามารถคิดเป็นมูลค่านั้นประกอบด้วยค่าจ้างหรือรายได้ที่ สูญเสียไป  ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล  และความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน  ส่วนความสูญเสียที่มีต่อสังคมรวมทั้งความทนทุกข์ทรมานของผู้ป่วยนั้น  ไม่สามารถคำนวณเป็นมูลค่าได้   อุบัติเหตุมักเกิดในวัยหนุ่มสาวและผู้ที่อยู่ในวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ(1),(2),(3),(4)
จากสถานการณ์รายงานการบาดเจ็บของประเทศไทย  พ.ศ.  2542-2547  พบว่า  ตั้งแต่ปี  พ.ศ.  2542-2547  ผู้ป่วยจากอุบัติเหตุมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี  จากปี  พ.ศ.  2542  มีจำนวนผู้บาดเจ็บ  2,460,615  ราย  อัตราการบาดเจ็บ  4,288.3  ต่อประชากรแสนคน  เพิ่มขึ้นสูงสุดในปี  พ.ศ.  2546  มีผู้บาดเจ็บ  2,969,389  ราย  อัตราการบาดเจ็บ  4,717.8  ต่อประชากรแสนคน  หรือจำนวนเฉลี่ยปีละ  2,825,745  ราย  หรืออัตราการบาดเจ็บเฉลี่ยปีละ  4543  ต่อประชากรแสนคน(5)
สำหรับแนวโน้มผู้เสียชีวิตจกการบาดเจ็บของประเทศสูงขึ้น  จากปี  พ.ศ.  2542  มีจำนวนผู้เสียชีวิต  25,799  ราย  อัตราการเสียชีวิต  41.90  ต่อประชากรแสนคน  เพิ่มขึ้นสูงสุดในปี  พ.ศ.  2546  มีจำนวน  27,247  ราย  อัตราการเสียชีวิต  43.29  ต่อประชากรแสนคน(5)
ประเภทการบาดเจ็บ  5  อันดับแรกที่มีอัตราสูงสุดของประเทศ  ได้แก่  อุบัติเหตุการขนส่ง  การสัมผัสกับแรงเชิงกลของวัตถุสิ่งของ  การผลัดตกและหกล้ม  การสัมผัสกับแรงเชิงกลของสิ่งมีชีวิต  และถูกทำร้าย  ส่วนสาเหตุของการบาดเจ็บที่มีอัตราการเสียชีวิตต่อประชากรแสนคนสูงสุด ได้แก่  อุบัติเหตุการขนส่ง  การถูกทำร้าย  การทำร้ายตัวเอง  ตกน้ำและจมน้ำ  และการพลัดตกหกล้ม    เมื่อพิจารณาถึงยานพาหนะที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุการขนส่งพบว่า จักรยานยนต์พบบ่อยที่สุด
ในประเทศสหรัฐอเมริกา  อุบัติเหตุยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง  ในประชากรช่วงอายุตั้งแต่  1 – 44  ปี    มีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ  150,000  รายจากอุบัติเหตุ  นอกจากนี้ภาวะทุพพลภาพอย่างถาวรจากอุบัติเหตุมีจำนวนมากเป็น  3  เท่าของอัตราการเสียชีวิต  โดยมีการสูญเสียเงินไปกว่า  4,000  ล้านดอลลาร์ต่อปี(9)
ในประเทศไทยเองเมื่อปี พ.ศ. 2538  มีรายงานทรัพย์สินเสียหายจากอุบัติเหตุจราจรถึง  1,631,118,000  บาท  การบาดเจ็บและการตาย  รวมทั้งทรัพย์สินเสียหายจากอุบัติเหตุจราจรดังกล่าวนี้มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ  มีผู้เสียชีวิต  ผู้บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายเพิ่มขึ้นถึง  2  เท่าในช่วง  10  ปีที่ผ่านมา(8)

ผลการศึกษา

ก. ข้อมูลทั่วไป  พบว่าผู้ป่วยทั้งหมด  4,881  ราย  เป็นชาย  3,571  คน  คิดเป็นร้อยละ  73.16  หญิง  1,310  คน  คิดเป็นร้อยละ  26.84  ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุในช่วง  21-30  ปี  คือ  1,621  คนคิดเป็นร้อยละ  33.2  รองลงมาคือช่วงอายุ  11-20  ปี  1,200  ราย  คิดเป็นร้อยละ  24.58  ดังตารางที่ 1และแผนภูมิที่ 1


ตารางที่ 1 แสดงจำนวนผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรในแต่ละช่วงอายุ

ข.ข้อมูลการศึกษา  มีรายละเอียดดังนี้   
1.ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุทางจราจรทั้งหมด  4,881  ราย  ซึ่งเกิดจากรถจักรยานยนต์  3,907 ราย คิดเป็นร้อยละ  80.04  จากรถยนต์(รถเก๋ง  รถตู้  รถกระบะ  รถสิบล้อ  รถหกล้อ  และรถพ่วง)  361  ราย คิดเป็นร้อยละ  7.39  รถจักรยาน  259  ราย  คิดเป็นร้อยละ  5.30  ซาเล้งและรถกอล์ฟ  16  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.32 คนเดินเท้า  338  ราย คิดเป็นร้อยละ  6.92 ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุทางจราจรทุกลักษณะมาใช้บริการที่ห้องอุบัติเหตุ และฉุกเฉินในแต่ละช่วงเวลาใกล้เคียงกันโดยช่วงเวลาที่มากที่สุดคือ 16.00-24.00 น.  มีผู้ป่วย  2,106  ราย  คิดเป็นร้อยละ  43.15  รองลงมาคือช่วงเวลา  8.00-16.00  น.  มีผู้ป่วย  1,446  ราย  คิดเป็นร้อยละ  29.62  น้อยที่สุดในช่วงเวลา  24.00-8.00  น.  มีผู้ป่วย  1,329  ราย  คิดเป็นร้อยละ  27.23     
2. ความรุนแรงของอุบัติเหตุทางจราจรในแต่ละอุบัติเหตุ  แสดงตามความรุนแรงดังนี้คือ
กลุ่มรถจักรยานยนต์
พบว่าจำนวนผู้ป่วยกลุ่มนี้ทั้งหมด  3,907  ราย  ได้รับบาดแผลถลอก,ฉีกขาด,ฟกช้ำดำเขียว  2,859  ราย  คิดเป็นร้อยละ  58.57  บาดเจ็บกระดูกหัก  672  ราย  คิดเป็นร้อยละ  13.77  บาดเจ็บทางสมอง  211  ราย คิดเป็นร้อยละ  4.32  บาดเจ็บภายในจากการกระแทก (หน้าท้อง  ทรวงอก)  54  รายคิดเป็นร้อยละ  1.11  บาดเจ็บกระดูกหักร่วมกับบาดเจ็บภายในกระแทก  13  ราย   คิดเป็นร้อยละ  0.27  บาดเจ็บกระดูกหักร่วมกับบาดเจ็บทางสมอง  54  ราย  คิดเป็นร้อยละ  1.11  บาดเจ็บภายในจากการกระแทกร่วมกับบาดเจ็บทางสมอง  19  ราย  คิดเป็นร้อยละ0.39    บาดเจ็บกระดูกหักร่วมกับบาดเจ็บภายในจากการกระแทกและบาดเจ็บทางสมอง  5  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.10  ข้อหลุด  12  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.25  และเสียชีวิต  8  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.16
กลุ่มรถยนต์
พบว่าจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด  361  ราย  ได้รับบาดแผลถลอก,ฉีกขาด,ฟกช้ำดำเขียว  258  ราย  คิดเป็นร้อยละ  5.29  บาดเจ็บกระดูกหัก  45  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.92  บาดเจ็บภายในจากการกระแทก  10  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.20    บาดเจ็บทางสมอง  38  ราย คิดเป็นร้อยละ  0.78  บาดเจ็บกระดูกหักร่วมกับบาดเจ็บทางสมอง  9  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.18  และเสียชีวิต  1 ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.02       
กลุ่มรถจักรยาน
พบว่าจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด  259  ราย  ได้รับบาดแผลถลอก,ฉีกขาด,ฟกช้ำดำเขียว  183  ราย  คิดเป็นร้อยละ  3.75  บาดเจ็บกระดูกหัก  42  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.86  บาดเจ็บทางสมอง  28  ราย คิดเป็นร้อยละ  0.57  บาดเจ็บภายในจากการกระแทก  4  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.08  และเสียชีวิต 1  ราย   คิดเป็นร้อยละ  0.02     
กลุ่มคนเดินเท้า
พบว่าจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด  338 ราย  ได้รับบาดแผลถลอก,ฉีกขาด,ฟกช้ำดำเขียว  233  ราย  คิดเป็นร้อยละ  4.77  บาดเจ็บกระดูกหัก  41  ราย  คิดเป็นร้อยละ  0.84  บาดเจ็บทางสมอง  52  ราย คิดเป็นร้อยละ  1.07  บาดเจ็บภายในจากการกระแทก  5  รายคิดเป็นร้อยละ  0.10  บาดเจ็บกระดูกหักร่วมกับบาดเจ็บทางสมอง  7  ราย    คิดเป็นร้อยละ  0.14
กลุ่มพาหนะอื่น
พบว่าจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด  16  ราย ส่วนใหญ่เป็นซาเล้ง  มีรถกอล์ฟ  1  ราย  ซึ่งความรุนแรงของอุบัติเหตุจราจรส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้รุนแรงน้อยคือ  บาดแผลถลอก  ฉีกขาด   ฟกช้ำดำเขียว  รองลงมาคือบาดแผลกระดูกหัก  ดังแสดงในตารางที่ 2


ตารางที่ 2  จำนวนผู้ป่วยในความรุนแรงของอุบัติเหตุจราจร

3. บาดแผลกระดูกหัก
ได้ศึกษาถึงตำแหน่งที่กระดูกหักพบว่า  กระดูกหักพบในผู้ป่วยทั้งหมด  801    ราย  ตำแหน่ง สะโพกถึงปลายเท้า  พบมากที่สุด  250  ราย  คิดเป็นร้อยละ  31.21  รองลงมา กระดูกต้นแขนลงมาถึงปลายมือ 225  ราย  คิดเป็นร้อยละ  28.09  ดังตารางที่ 3


ตารางที่ 3 จำนวนผู้ป่วยของกระดูกหักชนิดต่างๆ

4. บาดเจ็บทางศีรษะ
พบในผู้ป่วยทั้งหมด  329  ราย  เป็นการบาดเจ็บทางศีรษะระดับเล็กน้อย  301  ราย  ระดับปานกลาง  292  ราย  และระดับรุนแรง  31  ราย  ดังตารางที่ 4


ตารางที่ 4  จำนวนผู้ป่วยที่บาดเจ็บศีรษะจากสาเหตุต่างๆ

 

วิจารณ์

การศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุทางจราจร  พบว่าข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงในอัตราส่วน  2.73 : 1 โดยส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษาและวัยทำงานคล้ายกับการ ศึกษาที่โรงพยาบาลพุทธชินราช  พิษณุโลกและโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี  ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์    อาจเป็นเพราะว่าผู้ชายขับขี่รถจักรยานยนต์มากกว่าเพศหญิง    ซึ่งอาจมีพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้
ส่วนอวัยวะที่บาดเจ็บมากที่สุดพบว่าคือ  ขา  ซึ่งไม่ต่างจากการศึกษาที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีและโรงพยาบาลพุทธชินราช  พิษณุโลกโดยพบว่าได้รับบาดเจ็บที่ขามากที่สุด             ในช่วงเวลาของการมารักษาที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินนั้นพบว่าช่วงเวลา  16.00-24.00  เป็นเวลาที่ผู้ป่วยมากที่สุด     ส่วนในเรื่องความรุนแรงได้ประเมินจากอาการเบื้องต้น ณ  ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน  ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีความรุนแรงของอุบัติเหตุที่แสดงมาภายหลังได้  ในส่วนความรุนแรงทางสมองนั้นได้ถือตามระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ ศีรษะ(Glasgow  Coma  Scale)ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป  ความรุนแรงสูงสุดคือเสียชีวิตซึ่งมีถึง  8  ราย  และส่วนใหญ่มักเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล  โดยผู้ป่วยอุบัติเหตุที่ได้รับบาดเจ็บศีรษะส่วนมากเป็นกลุ่มที่ขับขี่ จักรยานยนต์  คือร้อยละ  73.82                      
กระดูกหักเป็นกลุ่มที่พบมากเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บแผล ถลอก  ฉีกขาด  ฟกช้ำซึ่งพบมากที่สุดและความรุนแรงน้อยที่สุด  ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบในแต่ละลักษณะอุบัติเหตุแล้ว  อุบัติเหตุจักรยานยนต์พบอุบัติการณ์กระดูกหักมากที่สุดอย่างเห็นได้ชัด  ตำแหน่งที่กระดูกหักพบได้มากที่สุดคือตั้งแต่สะโพกถึงนิ้วเท้า คือร้อยละ 31.21
บาดเจ็บภายในกระแทกซึ่งแบ่งเป็นบาดเจ็บภายในช่องท้องและบาดเจ็บภายในช่องอก  เมื่อพิจารณาตามปริมาณผู้ป่วยพบว่าอุบัติเหตุของจักรยานยนต์มากที่สุด
อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยอุบัติเหตุจราจรที่ห้องฉุกเฉิน  พบประมาณร้อยละ 0.16  ซึ่งมักเป็นการเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล  และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีการเสียชีวิตเพียง  8  รายเท่านั้น  
ซึ่งสามารถนำมาเป็นคำถามการวิจัยในเชิงลึกเพื่อหาลักษณะของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ทางระบาดวิทยา  เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการป้องกันการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรได้

สรุป

การศึกษาวิเคราะห์ผู้ป่วยบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่มารับบริการที่ห้อง อุบัติเหตุและฉุกเฉิน  โรงพยาบาลภูมิพลอดุลเดช บอ.พนอ  ตั้งแต่วันที่  1  มกราคม  พ.ศ. 2549 ถึง  31  ธันวาคม    พ.ศ. 2549  มีจำนวนทั้งสิ้น  4,881  ราย  พบว่ามาใช้บริการในช่วงเวลา   16.00-24.00 น.  มากที่สุด  แต่แตกต่างกันไม่มากนักในแต่ละช่วงเวลา  การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์พบมากที่สุด  ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่รุนแรงมากมีแผลถลอก  แผลฉีกขาด  หรือเขียวช้ำ  การบาดเจ็บทางศีรษะพบมากที่สุดคือบาดเจ็บระดับเล็กน้อย  ส่วนการบาดเจ็บภายในช่องท้องและทรวงอก  พบมากผู้บาดเจ็บที่ใช้จักรยานยนต์

ข้อจำกัดการวิจัย

การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง ซึ่งจุดเริ่มต้นนี้สามารถนำไปปรับปรุงและนำไปศึกษาวิจัยให้ได้ข้อมูลเพิ่ม ขึ้น  ได้โดยการศึกษาไปข้างหน้าเพื่อหาลักษณะปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิด อุบัติเหตุจราจร  เช่น อาชีพผู้บาดเจ็บ  ประเภทผู้บาดเจ็บว่าเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร  การมีใบอนุญาตขับขี่  การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  การไม่ใช้หมวกนิรภัย  ตลอดจนการมาโรงพยาบาลของผู้บาดเจ็บ  การปฐมพยาบาลและการดูแลขณะนำส่ง  เพื่อจะได้วางแนวทางการป้องกันและตั้งรับในการให้บริการแก่ผู้ป่วยที่ประสบ อุบัติเหตุทางจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ  ลดความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนต่อไป

บรรณานุกรม

1.อรพิณ  ทรัพย์ล้น,รพีพร  ปัญจจารุ,นิพิท  ไชยธรรม.พยุง  วรรณพินทุ. สถิติสาธารณสุข  พ.ศ. 2546  พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพมหานคร :สามเจริญพานิช; 2547
2.กาญจนีย์  ดำนาคแก้ว.การบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุขนส่งในช่วงปีใหม่  พ.ศ. 2547  และ  2548.วารสารวิชาการสาธารณสุข.2548 ม.ค.;(4) :216-24
3.เสาวนีย์ ดีมูล ,กอบโชค  วุฒิโชติวณิชย์กิจ.ระบาดวิทยาของผู้บาดเจ็บจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มา รับการรักษาในโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก.วารสารอุบัติเหตุ.2547 พ.ค.;(23) :65-75
4.ไวยวุฒิ สีหิรัญวงศ์.ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางจราจร ณ ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี.วารสารโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี.2544 พ.ค.; (12) : 17-25
5.เพ็ญศรี  จิตนำทรัพย์,พวงทอง  อังคะสุวพลา.สถานการณ์รายงานการบาดเจ็บของประเทศไทย พ.ศ.2542-2547.วารสารวิชาการสาธารณสุข.2548 ม.ค. ;(14) : 129-39
6.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข,สาหร่าย เรืองเดช.ผู้ป่วยอุบัติเหตุและเจ็บป่วยฉุกเฉินในระบบหลักประกันสุขภาพแห่ง ชาติ.วารสารวิชาการสาธารณสุข.2547 มี.ค.;(4): 226-37
7.ปรีชา ศิริทองถาวร,สืบวงศ์ จุฑาภิสิทธิ์,อนันต์ ตัณมุขยกุล.ศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ 12 การดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุชั่วโมงแรกที่ห้องฉุกเฉิน พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานคร เรือนแก้วการพิมพ์ ; 2547
8.สุทธิพร  จิตต์มิตรภาพ.การให้คำปรึกษาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจราจร.วารสารคลินิก.2546 พ.ย.;(19):945-50
9.American College of Surgeons Committee, American College of Surgeons;Advanced trauma life support 7st edition :USA;2005
10.Susan L,Gin-Shaw,Robert C.Multiple trauma.In John A,Robert S,Ron M,editors.Rosen’s emergency Medicine concepts and clinical practice.Philadlphia:Mosby Elsevier;2006.p.300-306

Tags:

ประกาศคณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ