นพ.รัฐพงษ์ บุรีวงษ์
กลุ่มงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา
ฤดูกาลนี้คงไม่มีคำกล่าวอะไรที่เหมาะสมไปกว่า “ยินดีต้อนรับพวกพ้อง EP” ที่ตามออกมาเป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งมีผู้คนมากมายเฝ้ารอการมาอย่างใจจดใจจ่อและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ประหนึ่ง “วันนี้ที่รอคอย” ไม่ว่าจะนานเพียง 365 วัน 730 วัน หรือยาวนานเกือบ 20 ปีอย่างที่อาจได้ยินจากปากพี่พยาบาลใน ER ทุกแห่ง ไม่ว่าท่านจะยินดีและรับรู้หรือไม่ก็ตาม ณ เวลานี้ “ท่าน” เป็น “พวกพ้อง EP” แล้ว
พี่น้องครับ ถ้อยคำพรรณนาเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะฟังดูแปลกและผะอีดผะอมก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามีส่วนจริงอยู่มากทีเดียว ขึ้นกับว่าท่านได้ยินมาจากไหนและจากใครต่างหาก สำหรับ “ผู้เขียน” ปีนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าคอยดังเช่นหลายต่อหลายคน แต่เมื่อย้อนกลับไปหนึ่งปีก่อน “ผู้เขียน” ยังจำภาพในอดีตนับตั้งแต่ก้าวแรกจนกระทั่งวันนี้ได้อย่างชัดเจนแม้ในยามหลับตา และตลอดปีที่ผ่านมาก็เป็นการยืนยันถึงอารมณ์ “การเฝ้ารอคอย” ของผู้ร่วมงานทุกคนได้เป็นอย่างดี...
ย้อนกลับไป ... ห้าวันก่อนที่จะเริ่มงานซึ่งยังอยู่ในช่วง “หยุดพักผ่อน” ของแพทย์ประจำบ้านปีสุดท้ายหลังจากสอบเสร็จ แทนที่จะอยู่ว่างๆ ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านเรื่องผลสอบ ประกอบกับรุ่นพี่(ไม่รู้ว่าตั้งแต่สมัยไหน)สอนมาว่าให้มาเริ่มงานก่อนกำหนดเพื่อเรียกคะแนนความดีและเป็นการสร้างภาพ “หมอใหม่ไฟแรง” ให้ประจักษ์แก่สายตาเพื่อนร่วมงานใหม่ แล้วก็ถือโอกาสย้ายของเข้าที่พักที่ยังเก็บกวาดไม่เรียบร้อย ด้วยเหตุผลว่าคนเก่าเพิ่งจะย้ายออกไปไม่กี่วันมานี้ (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าใครสอนให้พูดเหมือนกันหมดทุกที่ ทุกจังหวัดอีกนั่นแหละ)
สถานที่ทำงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ รุ่นพี่ใหม่ รุ่นน้องใหม่ แต่งานแบบเก่า กลับเข้ามาในอารมณ์ความรู้สึกหลังจากที่ร้างลาห่างกันไปสามปีที่ศึกษาต่อ แต่ของแบบนี้ฟื้นฟูได้ไม่ยากเพราะเป็นความรู้สึกทึ่คุ้นเคยเหลือเกิน
เช้าวันแรก เริ่มต้นขึ้นพร้อมกาแฟหอมกรุ่นรสชาดกลมกล่อมหนึ่งแก้ว กับการเริ่มทำงานอย่างมั่นใจในวิชาที่สั่งสมติดตัวมาเป็นอย่างดีตลอดสามปี การตรวจรักษาคนไข้ดำเนินไปตามปกติ คนไข้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาก็สามารถให้การรักษาได้อย่างไม่ยากเย็น แต่มีบางสิ่งก่อให้เกิดคำถามในใจขึ้นบ่อยครั้ง วันแล้ววันเล่าจนเวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน นั่นก็คือการตัดสินใจให้การรักษาที่ต้องทำร่วมกับแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นหรือแพทย์ท่านอื่นที่อยู่มาก่อน ซึ่งการตัดสินใจบางอย่างไม่ได้ต้องอาศัยความรู้ทางการแพทย์มากนัก แต่กลับต้องอาศัยสัมพันธภาพกับแพทย์สาขาอื่นที่คุ้นเคยกับความเชื่อและสิ่งที่องค์กรนี้เคยปปฏิบัติกันมาแต่ก่อนเก่า ยกตัวอย่างเหตุการณ์ การ Admit คนไข้ที่กินน้ำยาล้างห้องน้ำปริมาณมากเข้าไป แล้วได้รับการยืนยันให้ admit เข้าตึก “อายุรกรรม” ผู้เขียนยังคงความสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่า admit เข้าไปแล้วจะให้หมออายุรกรรมาทำอะไรต่อ??? ก่อนที่ความสงสัยจะบานปลายไปมากกว่านี้ ก็ได้รับการเฉลยโดยพยาบาลผู้มากด้วยประสบการณ์ว่า “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะหมอ แต่หมอที่นี่เค้าก็คิดกันอย่างนี้แหละ มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว”
ยังมีเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกมากที่เกิดขึ้นแล้ว และยังคงอาจจะเกิดขึ้นต่อไปในโรงพยาบาลที่ “พวกพ้อง EP” จบการศึกษาออกไปทำหน้าที่ของตัวเองดังที่ตั้งใจไว้ ยิ่งอยู่ไปนานวันเข้า เราก็จะยิ่งพบกับคนไข้ที่มีความยากมากขึ้น บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะยิ่งพบกับเพื่อนแพทย์สาขาอื่น ที่เข้าใจยากมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่กล่าวเช่นนี้ “พวกพ้อง EP” อาจจะเห็นว่าไม่มีอะไรยาก ทำตามเค้าไปก็พอ จะได้ไม่มีปัญหา หากจะขอให้คิดพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วเราจะพบว่า การทำงานให้มีคุณภาพ (ซึ่งพวกเราควรทำงานให้มีคุณภาพ) ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางวิชาชีพ ความรู้รอบตัว ความสามารถในการเจรจาสื่อสารอย่างชาญฉลาด (ขั้นเทพ) ทั้งในการเจรจากับเพื่อนแพทย์ และเจรจากับผู้ป่วยและญาติ เท่านี้ก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของ “หมออีอาร์” ซะแล้ว
ลำพัง การตรวจรักษาที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน ก็สามารถสูบพลังงานชีวิตของพวกเราให้หมดไปได้พอดี ๆ เท่ากับที่ชาร์จไว้ตอนกลางคืน แต่ในเมื่อพวกเราเป็น “หมออีอาร์” ก็ย่อมต้องมีภาระกิจที่ยิ่งเยอะยิ่งกว่าการตรวจรักษา คำว่า “มากมาย” ดูจะเป็นคำที่สมเหตุสมผลที่สุดกับความรับผิดชอบปริมาณมาก และมีความหลายหลายดุจดั่ง “แกงจับฉ่าย” (หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า แกงล้างตลาด ที่ผสมเอาผักทุกอย่างใส่ลงไป ต้มให้สุก จนกลายเป็นแกงที่รับประทานได้) เพราะนอกจากการตรวจรักษาแล้ว ยังมีภาระกิจอื่น ๆ ที่ “หมออีอาร์”ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง (กับเค้าไปซะหมดทุกเรื่อง) ดังจะยกตัวอย่างให้ฟังต่อไปนี้
งาน pre-hospital system เป็นงานแรกที่ผู้เขียนจำได้ดี เนื่องจากเป็นงานที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนจบออกมาจากโรงเรียนแพทย์ ว่าจะต้องออกมาพัฒนางานในส่วนนี้ให้มีประสิทธิภาพ เพราะทราบมาก่อนแล้วว่าเป็นงานส่วนที่ต้องการการพัฒนาอีกมาก ระบบเดิม ๆ ที่ทำอยู่ ยังไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่อย่างที่ตั้งไว้ และงานส่วนนี้นอกจากจะยังไม่มีรูปแบบที่เหมาะสมชัดเจนแล้ว ยังเป็นส่วนที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของข้อขัดแย้งและความผิดพลาดอันส่งผลถึงคุณภาพชีวิตของคนไข้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นความคิดตั้งต้นที่คิดไว้ก่อนที่จะมาทำงานจริง แต่แล้ว ชีวิตจริงในแต่ละวันก็ส่งผลให้ความคิดนี้มีอันเป็นไปไม่สามารถทำให้สมดังที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก เนื่องจากเป็นเรื่องที่บอบบาง ละเอียดอ่อน (นึกไม่ออกล่ะสิ ว่าละเอียดอ่อนยังไง ?) ต้องประสานกับคนจำนวนมาก ทั้งในโรงพยาบาลเดียวกัน ต่างโรงพยาบาล และคนทำงานที่อยู่นอกระบบงานสาธารณสุข และเหตุผลต่าง ๆ อีกนานับประการ เป็นอันว่างาน pre-hospital system เป็นอันต้องพักไว้ก่อน
งานถัดมาเป็นเรื่องที่ “หมออีอาร์” คนไหน ๆ ก็รู้จักและอยากให้มีในโรงพยาบาลของตนเอง แล้วยังต้องการให้มีประสิทธิภาพสูงซะด้วย งานนี้คือ ระบบคัดแยกคนไข้ (Triage system) และงานห้องสังเกตุอาการในห้องฉุกเฉิน (Short stay unit) ซึ่งถ้าไปถาม “หมออีอาร์” คนไหน ๆ ก็คงทราบว่าทั้งสองงานนั้น สำคัญต่อพวกเราอย่างไร จำเป็นต้องมีขนาดไหน แต่ลองมองดูให้ดีแล้วเราจะพบว่าทั้งสองงานนี้ถูกตั้งความหวังไว้สูงมาก นอกจาก “หมออีอาร์” แล้ว เพื่อนแพทย์ทุกคนในโรงพยาบาลรวมทั้งพยาบาลทุกฝ่าย ต่างทราบถึงคุณประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น และขณะเดียวกันก็ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย ความเสี่ยงที่ว่านั้นคือ ใครออกตัวรับงานนี้ก่อน.....ซวยก่อน เนื่องจากทั้งสองงานต้องประสานกับคนหมู่มาก (อาจมากถึงขั้นทั้งโรงพยาบาลได้) และมีโอกาสทีจะทำให้ภาระงานของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างทันตาเห็น การจะได้มาซึ่งคุณภาพการปฏิบัติงานจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย ผู้ที่จะมารับผิดชอบต้องเป็น “กันชน” ที่ดีให้กับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คำถามมีอยู่ว่า “แล้วใครจะมาเป็นผู้รับผิดชอบทั้งสองงานนี้ ?” เมื่อพวกเรามาพิจารณาตามรูปการณ์แล้วจะเห็นว่า “งานอีอาร์” โดย “หมออีอาร์” นี่แหละเหมาะสมที่จะเป็นผู้รับผิดชอบที่สุด
งานที่สาม ว่าด้วยเรื่องการรับประกันคุณภาพการตรวจรักษา ซึ่งแน่นอน เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับ “HA” ที่ใคร ๆ ก็ทราบแต่ไม่อยากรู้จัก งานส่วนนี้จำเป็นต้องทำร่วมกันกับทุก ๆ แผนก หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า PCT (patient care team) เพื่อสร้างมาตรฐานทางวิชาการในการดูแลคนไข้ของทุกแผนก และทุกแผนก คนไข้ส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ “อีอาร์”
นอกจากนี้ยังมีงานตามโอกาสพิเศษ เช่น ไข้หวัดนก ไข้หวัด2009 งานรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลและวันหยุดยาว (แต่เสาร์ อาทิตย์ ร้านสุรายามค่ำคืน ไม่เห็นมีใครรณรงค์) ม็อบเสื้อแดง ม็อบเสื้อเหลือง ม็อบเสื้อน้ำเงิน ม็อบเสื้อขาว งานต่าง ๆ เหล่านี้ “หมออีอาร์” ล้วนแล้วแต่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้นไม่มากก็น้อยตามแต่โอกาสจะอำนวย
งานที่สี่ เป็นงานเตรียมความพร้อมต่าง ๆ ทั้งการเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณภัยที่มีโอกาสเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดของตนเอง เตรียมความพร้อมภายในโรงพยาบาลเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่น ไฟดับ ไฟไหม้ ตึกถล่ม น้ำท่วม ฯลฯ นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้คือ เตรียมความพร้อมในกรณีเกิดอุบัติภัยหมู่ภายในโรงพยาบาล เมื่อพิจารณาให้ดีจะพบว่า ทั้งหมด ทั้งอีอาร์และ “หมออีอาร์” ล้วนต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
งานที่ห้า เกี่ยวกับการดูแลคนไข้กลุ่มพิเศษเช่น ช่องทางพิเศษสำหรับผู้ป่วย Stroke, ช่องทางพิเศษสำหรับผู้ป่วย acute coronary syndrome
และสุดท้าย เกี่ยวกับคุณภาพการตรวจรักษาในแผนกอีอาร์ของเราเอง ด้วยเหตุผลว่า “หมออีอาร์” ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า พวกเราไม่สามารถนั่งเฝ้าห้องฉุกเฉินได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เจ็ดวันต่อสัปดาห์ เราจึงจำเป็นต้องพยายามพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินให้รองรับถึงแม้ว่าผู้ตรวจจะเป็นใครก็ตาม (ลองจินตนาการตอน หมอสูติฯตรวจคนไข้อายุรกรรม หมออายุรกรมตรวจคนไข้ศัลย์ หมอศัลย์ตรวจคนไข้เด็ก หมอเด็กตรวจคนไข้ตา หมอตาตรวจคนไข้สูติฯ ดูครับว่ามันจะยุ่งแค่ไหน) นั่นเป็นที่มาว่าเราควรจะมี CPG เอาไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้ยามฉุกเฉิน
งานสุดท้ายของสุดท้าย คือถ้า “หมออีอาร์” อยากทำงานสบาย และมีประสิทธิภาพ พวกเราจำเป็นต้องพัฒนา “เพื่อนร่วมงาน” ของเราให้ดี ซึ่งก็คือพี่ ๆ น้อง ๆ พยาบาลคู่ทุกข์คู่ยากที่ทำงานด้วยกันในห้องฉุกเฉิน เพราะบุคคลากรทรงคุณค่าเหล่านี้ มีความหมายอย่างมากมายต่อการให้การดูแลรักษาคนไข้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ที่เล่าให้ฟังมานี้ เป็นงานที่ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเรา “หมออีอาร์” อาจดูเหมือนว่าช่างมากมายหลายอย่างสำหรับหลายๆคน หรืออาจฟังดูง่าย ๆ ไม่ได้มีความยุ่งยากอะไรสำหรับบางคน แต่งานเหล่านี้ “หมออีอาร์” ก็จัดว่าเป็นเจ้าของงานในลำดับแรก ๆ เลยทีเดียว
“ผู้เขียน” เองยังจำคำถามที่ถูกถามตอนสอบวุฒิบัตรโดยอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านได้เป็นอย่างดีว่า “จบแล้ว หมอจะออกไปทำอะไรเป็นอย่างแรก ?” ซึ่ง “ผู้เขียน” ได้ตอบคำถามนี้หลายครั้ง แต่ล้วนแล้วแต่เป็นคำเดิมเสมอไม่เปลี่ยนแปลง “ผมจะออกไป Identify ตัวเองครับ”
หนึ่งปีที่ผ่านมา “ผู้เขียน” ได้พบเจอสิ่งดี ๆ ที่น่าตื่นเต้นหลายอย่าง ที่เขียนข้างต้น คือสิ่งที่สามารถรวบรวมเป็นคำเขียนเพื่อบอกเล่าให้ “พวกพ้อง EP” ได้ฟัง เผื่อว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดประโยชน์กับพวกเราบ้างไม่มากก็น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วเป็นที่เรียบร้อยในใจ “ผู้เขียน” ก็คือความสุขในการทำงานปริมาณมากเหล่านี้ ได้แสดงความมีตัวตนของ “หมออีอาร์” ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับรู้และเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป
หลังจากท่านอ่านบทความนี้จนจบแล้ว “ท่าน” ในฐานะ “พวกพ้อง EP” คงพอจะสัมผัสได้ว่า เพราะเหตุใดท่านจึงเป็นผู้ที่ใครๆต่าง “เฝ้ารอคอย”