Doctor corner/มุมแพทย์ ช่วงเวลาของการฝึกอบรมเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่แท้จริง ….เริ่มต้นแล้ว

นาวาเอก นพ.พิเชฏฐ์ กรัยวิเชียร
สำนักงานศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
รพ. สมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

การฝึกปฏิบัติงานในวิชาชีพแพทย์ พยาบาล หรือแม้กระทั่งผู้ปฏิบัติงานทางสาธารณสุขต่าง ๆ จะอาศัยความรู้ภายในห้องเรียนที่อ้างอิงในทฤษฎีหรือระบุไว้ในตำราเพียงประการเดียว โดยไม่มีการฝึกปฏิบัติงานกับงานที่เกิดขึ้นจริงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ มีบ่อยครั้ง ๆ ที่แพทย์ที่เรียนหรือเขียนหนังสือเก่ง อาจจะไม่ประสพความสำเร็จในการประกอบวิชาชีพทางเวชปฏิบัติก็ได้ นั้นก็เพราะแพทย์ผู้นั้นมักจะขาดทักษะหลายประการอาทิ ทักษะการสื่อสารระหว่างแพทย์ กับพยาบาลหรือกับผู้ป่วยกับญาติ , ทักษะการดูแลผู้ป่วย ,ทักษะการปฏิบัติงานด้านหัตถการต่างๆและทักษะการตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน , ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เหล่านี้เป็นต้น
สำหรับแพทย์ประจำบ้านที่จบการศึกษาและออกไปทำงานจริงๆด้วยบรรยากาศใหม่ๆพร้อมสวมเสื้อแห่งการประกาศว่าเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทางในสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินที่สังคมของแพทย์ในโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทยเฝ้ารอ และยอมรับบทบาทของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินมากขึ้นในองค์กร แต่การยอมรับในมุมมองใดยังคงเป็นข้อน่าเคลือบแคลงในบางแห่ง ที่มักจะโยนภาระงานสารพัดที่แตกต่างกัน บางงานก็มีสาระสมเหตุผลและบางงานก็ไม่มีสาระแต่จำยอมต้องรับภาระแทนแพทย์รุ่นพี่บ้าง
น้องๆแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินในปัจจุบันนี้ ก็คือ ท่านเองและรุ่นพี่ที่จบก่อนท่านอีก สองรุ่น เปรียบเสมือนรากแก้วแรกๆที่กำลังหยั่งแขนขาของสาขาวิชาชีพนี้เพื่อแพร่ขยายในผืนดินที่อาจจะอ่อนนุ่มจนเป็นงานที่แสนง่ายบ้าง บางแห่งก็เป็นผืนหินที่แข็งแกร่งยากที่จะทะลวงอุปสรรคไปได้บ้าง การเรียนรู้ การทำงานในการเป็นผู้วางรากฐานของระบบงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลหรือพื้นที่จังหวัดต่างๆของน้อง ก็คือจุดเริ่มตนจริงๆของประวัติศาสตร์แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินของประเทศไทยนั้นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ปฏิบัติงานนั้น ถ้ายังขาดแพทย์รุ่นพี่ที่เป็นผู้บุกเบิก หรือได้เคยวางแนวทางหรือโครงสร้างไว้ล่วงหน้าแล้ว แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินผู้มาใหม่ แม้จะมีความรู้ทางวิชาการมาจากการฝึกอบรมเต็มเปี่ยม มีไฟแห่งการทำงานอย่างร้องแรง ( แถมออกจากดุเดือดเลือดพล่าน ) ในความมุ่งมั่นต่อหลักการวิชาชีพมาก อาจจะประสพปัญหาในการปรับตัวบ้างหรือ ปรับระบบงานให้สอดคล้องกับประเพณีและวัฒนธรรมขององค์กรที่ไปทำงานด้วยบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นสภาพของจริง ๆ ที่ต้องยอมรับก่อน เป็นของจริงที่บางสถาบันฝึกอบรมเอง ก็ อาจจะไม่ได้สอนเพราะสภาพแวดล้อมไม่ได้เอื้ออำนวยให้ผู้สอนคิดจะดำเนินการจัดสอนให้แพทย์ประจำบ้านในช่วงฝึกอบรมนั้นด้วย การไม่ได้มองภาพของแพทย์ประจำบ้านคนนี้ว่าจบไปแล้ว จะไปพบอะไรและจะไม่พบอะไร จะทำอะไรก่อนและจะทำอะไรหลัง จะวางแผนแนวทางงานแบบใด มนุษย์สัมพันธ์ในการทำงานแบบใดที่จะเอื้ออำนวยให้งานดีขึ้น โดยไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกต้อง จะว่าไปแล้วสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เป็นลักษณะเดียวกันกับที่โรงเรียนแพทย์เคยประสพการถูกวิจารณ์มาตอนสอนอบรมนักเรียนแพทย์นั้นเอง เพราะฉะนั้นสถาบันอบรมเองก็คงต้องมองภาพ และ หาแนวทางการฝึกอบรม การเรียนการสอนให้ดีขึ้นต่อๆไปด้วย
แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินจะต้องบริหารงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ให้สอดคล้องกับงานในระบบ รพ.ฯ ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ เปรียบเสมือนการบริหาร รพ.ฯ เล็ก ๆที่เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ภายใน รพ.ฯ ใหญ่ๆ ที่อาจจะปิดทำการในบ้างเวลาอีก ทีมงานที่มีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินเป็นหัวเรือใหญ่จะต้องรับบทบาทของการเป็นผู้ประสานงานสิบทิศกับหลายฝ่ายหลายหน่วยงานใน รพ.ฯ ใหญ่โดยมีข้อแม้คือ ขอให้การทำงานของห้องฉุกเฉิน มีการสอดคล้องและเอื้ออำนวยต่อการทำงาน ร่วมกัน เป็นทีม แน่นอนการเจออุปสรรค และสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดามาก( ย้ำชัดๆว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก) ที่แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินจะต้องพบในหนึ่งปีแรกของการทำงาน แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินจะต้องการเรียนรู้ ระบบงาน เข้าใจในประเพณีองค์กร มีมนุษย์สัมพันธ์กับบุคคลในหน่วยงานต่าง ๆอย่างกว้างบ้างลึกบ้าง จงหัดให้เป็นผู้ทำงานมากๆและหัดเป็นผู้ฟังมากๆ จะสามารถทราบวิธีการหรือหาช่องทางในการสร้างแนวทางประสานงานที่พอจะสามารถสานต่อให้ภาระงานบรรลุผลตามความต้องการ ช่วงนี้ก็อย่างน้อยประมาณอีก 3 – 6 เดือน จากนั้นแล้วโอกาสที่น้องๆแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินทั้งหลายกว่าจะตั้งหลัก ปักวาง หินก้อนแรกของแนวทางที่เราต้องการจริงๆ และมีการเริ่มขยับปรับระบบงานต่าง ๆ ให้เข้ารูปเข้าร่าง ก็อีก 6 เดือนต่อๆมาเป็นอย่างน้อย เบ็ดเสร็จก็ราวๆ 1 ปี แรกที่เดียว
ข้อแนะนำที่จะฝากให้แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่จบมาใหม่ทั้งหลายต่อไปนี้ เป็นข้อแนะแต่ไม่ได้นำเสียทุกอย่าง แต่ควรคำนึงในสิ่งดังกล่าวข้างต้นเพื่อพอให้ปรับใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน
ข้อแรกก็คือ รู้จักความอดทน รู้จักการรอคอย และรู้จักการวางแผนงานทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ย้ำว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทั้งสามข้อนี้จะเป็นพลังงานภายในให้กับเราในการทำงาน เป็นเสมือนน้ำทิพย์ดับความร้อนรุ่มจากการทำงานได้โดยที่จะค่อยหล่อเลี้ยงให้เรายังคงมีสติมุ่งมั่นต่อการพัฒนางานเวชศาสตร์ฉุกเฉินต่อไปได้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคหรือข้อขัดข้องก็ตาม และ ก็จงคิดเสมอว่าความยากลำบากเป็นสิ่งชั่วคราว ที่มาแล้วก็ต้องไปจากสักวันหนึ่ง ความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็ไม่ถาวร เหมือนประโยคอมตะของคุณแม่ของท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขสามสมัยและปูชนียบุคคลของวงการแพทย์และสาธารณสุขไทย ที่สอนท่านตั้งแต่ท่านเยาว์วัยว่า “ ชีวิตที่ลำบาก เป็นชีวิตที่เจริญ “เพื่อปลูกฝังนิสัยให้ไม่กลัวความยากลำบากให้แก่ท่าน ซึ่งส่งผลให้ท่านมุ่งมั่นไม่ย่อท้อในงานที่ลำบากและสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้ในท้ายที่สุด สมดังคำสอนของมารดาของท่าน

ข้อสองก็คือ รู้จักการทำงานอย่างต่อเนื่อง เกาะติดและทำจริงจังโดยมองอุปสรรคทุกอย่างให้เป็นโจทย์ใหม่หรือหาโอกาสที่จะพัฒนาเสมอ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ควรคิดเสมือนว่างานที่กระทำก็เพื่อหนึ่งผลประโยชน์ของ รพ.ฯ และสองของระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่เป็นหลักส่วนรวมของประเทศและสามเป็นส่วนอานิสงค์ของเฉพาะส่วนตัวที่ซึ่งอาจจะให้ผลกับตัวตนของเรา ญาติพี่น้อง ผู้ร่วมงาน เพื่อนฝูง ต่างๆที่อาจจะเจ็บป่วยในยามฉุกเฉินได้เช่นกัน จะทำให้เรายังคงยึดมั่น ต่อสิ่งที่เราตั้งใจไว้ตลอด ความท้อแท้ ความเบื่อหน่วย ความเซ็ง อาการแก้แค้นที่อยากจะขอเอาคืนบ้าง แม้เป็นสิ่งธรรมดาๆที่ต้องเกิดขึ้นได้ก็จริง แต่ก็ควรจะละอารมณ์เสียทั้งหมด หรือบางส่วนก็ยังดี จะต้องพยายามระบายออกในรูปของกิจกรรมอื่น ๆ แทน เช่น การออกกำลังกาย การสันทนาการ อื่น ๆ น่าจะพอทำให้ลดความร้อนแรงและทำให้ไม่เสียงานด้วย
ข้อสามก็คือ หมั่นการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ การรักษาสุขภาพรวมทั้งการป้องกันตนเองจากโรคภัยต่างๆเป็นสิ่งจำเป็นมากของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินทุกคน จงขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอและควรทำเป็นนิสัย ร่างกายของแพทย์เองต้องทำงานในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ความกะฉับ กระเฉงและการตอบสนองในสภาพของร่างกายที่ดีพร้อม จะทำให้การทำงานด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นพัฒนาได้ราบรื่นเช่นกัน
ข้อสี่ ก็คือ การรู้จักพัฒนาตนเองมีการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง การฝึกฝนเรียนรู้วิทยาการใหม่ อย่างเป็นระบบและให้ถูกต้องในแง่หลักจริยธรรมกันกับฝ่ายคนไข้ด้วย เป็นส่วนสำคัญ เช่นกัน รวมถึงการพัฒนาคิดดัดแปลงปรับความรู้ให้เหมาะสมกับหน่วย หรือระบบใหม่ของสภาพภูมิประเทศที่เราทำงาน มีผู้กล่าวอีกครั้งว่า ความรู้ของแพทย์ประจำบ้านศัลยกรรมที่ได้รับจากสถาบันฝึกอบรมจะหมดความทันสมัยของวิทยาการการใช้งานความรู้หรือวิธีการผ่าตัดนั้นๆ ภายในสามปีหลังจบการฝึกอบรมแล้ว
ข้อห้าก็คือ การละวางสิ่งที่กังวลใจ และการให้อภัยแก่ผู้ร่วมงานอื่นบ้าง ( แต่ขอให้ต้องมีหลักการและเอื้ออำนวยให้เกิดแรงใจในการทำงานเป็นทีมต่อๆกันยิ่งขึ้นไป ) เป็นสิ่งที่แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินควรฝึกกระทำให้เป็นนิสัย เพราะจะเป็นสิ่งจรรโลงความสามัคคีของทีมงาน เป็นสิ่งที่จะค่อยหล่อเลี้ยงให้การกระทำดีต่างๆจะยังคงมั่นคงยั่งยืน การรู้จักปล่อยวางในส่วนที่เราแบกภาระ ต่างๆซึ่งอาจจะวนเวียนไปมาอยู่ในความคิดและจิตใจเราบ้าง จงฝึกหัดทิ้งลงไม่ให้รกเปลืองสมอง และขจัดในสิ่งที่ส่งผลให้เกิดความคิดเคียดแค้น หรือความพยาบาท ให้พ้นออกจากตนเอง คนเรามักทะเลาะกันในเรื่องของงานแล้วคิดต่อเนื่องไปเลยเวลางาน จนติดค้างไปจนถึงที่บ้าน อารมณ์ค้างไปจนตอนนอน แล้วบานปลายไปต่ออีกในวันที่ปฏิบัติงานในวันต่อๆไป ขอให้น้องๆโปรดคำนึงบ่อยๆ นึกถึงเสมอๆว่า เราจงคิดเรื่องงาน ก็ขอให้เป็นเรื่องของงาน ในเวลาทำงานเท่านั้นเถอะ หมดเวลางานก็หยุดพักชั่วคราวให้วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ก็ได้ และไม่ว่าผลของงานจะเป็นสิ่งที่ออกมาในรูปแบบใดๆ จงคิดในทางบวกไว้เสมอ แล้วเราจะมองภาพของงานที่ยาก งานที่มีข้อขัดข้องนานานับประการแค่ใด ท้ายสุดเราก็มักจะพบว่าทุกปัญหาจะมีช่องทางที่จะมองหาวิธีการแก้ปัญหาได้เสมอ บางครั้งปัญหาอาจจะดูเหมือนมืดมนและตีบตันไปหมด หากทำใจให้สงบ ลองปล่อยให้ระยะเวลาเดินทางไปบ้าง ทอดเวลาเล็กน้อยรอคอยจังหวะหรือโอกาสดีๆแล้ว พอจิตใจโล่งๆและถ้าฉุกคิดได้ทันก็จะพบหนทางการแก้ปัญหาได้เอง
ข้อหกก็คือ เราควรหมั่นเป็นผู้ให้สิ่งดีๆแก่ผู้ร่วมงานบ่อยๆ เช่นให้คำพูดที่ดีเหมาะสมที่จะสร้างกำลังใจให้เกิดการทำงานเป็นทีมได้เป็นอย่างดี ให้แนวความคิดดี ให้กำลังใจดี ให้แนวทางที่ดีแก่ผู้ร่วมงาน ให้โอกาสที่ดีแก่ผู้ร่วมงาน แม้กระทั่งให้รางวัลในรูปสิ่งของต่างๆ ( แต่ก็ควรให้อย่างฉลาดไม่ใช่ให้จนเกิดภาระแก่ตัวเราเอง จนเดือดร้อนฐานะการเงิน ) แม้ว่าจะเป็นการให้แบบไม่มีสิ่งตอบแทน เป็นการให้ที่ไม่มีการคาดหวังที่จะได้กลับคืนก็ตาม เราต้องรู้ข้อจำกัดของทรัพย์สินเงินทองว่า เราควรจะสนับสนุนได้เท่าไร เพียงใด และกี่ครั้ง เคล็ดลับของการเป็นผู้ให้ที่ดีนั้น น่าจะขอยกข้อความของอาจารย์ประเวศ วะสี ที่เขียนกล่าวสรรเสริญบูชา แด่ท่านศาสตาจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ปูชนียาจารย์ของวิชากายวิภาคศาสตร์และอดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ในวาระครบอายุแปดสิบสี่ปี ไว้ดังนี้

“ ท่านศาสตาจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้มีน้อยแต่ให้มาก ท่านอาจารย์หมอสุด เป็นผู้มีน้อยแต่ให้มาก ที่ว่ามีน้อยนั้นคือ มีวัตถุน้อย กล่าวคือมีบ้านเล็กๆ ขี่จักรยานมาทำงาน เอาข้าวกล่องจากบ้านมากินกลางวัน ที่มีน้อยก็เพราะไม่ได้ขวนขวายที่จะมีมาก การไม่ได้ขวนขวายที่จะมีมากทำให้ท่านอยู่ในฐานะที่จะให้มาก ที่ว่าให้มาก คือ ให้เวลา ให้กำลังกาย กำลังใจ ขวนขวายหาความรู้ ขวนขวายกระจายความรู้ ส่งเสริมการเรียนของศิษย์ทุกวิถีทาง “

งานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน แม้เป็นกุศลกิจที่สร้างกุศลกรรมให้การผู้ทำงานเช่น แพทย์ และ พยาบาล ต่าง ๆ แต่ก็เป็นงานที่ไม่น่าจะอภิรมย์นัก เพราะเป็นงานที่ผู้เดือดร้อนจะนำความไม่สบายใจ ความทุกข์ ต่าง ๆ มาให้เราช่วยรักษา แก้ไข บรรเทา ในเวลาที่เร่งร้อนแต่จำกัด และความคาดหวังของผู้ป่วยที่หลากหลาย และบางครั้งก็รุนแรงอย่างไร้เหตุผลสมควร เราจึงควรมีการทำงานที่มีหลักการ มีการวางแผนงานที่ดีวางแผนให้ครบถึงระยะยาวๆ มีการอดทน และ รู้จักการรอคอยอย่างหนักแน่น มีความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างต่อเนื่องโดยต้องทำจริงจังและเกาะติด พร้อมให้มีพลังกายที่แข็งแรง จากการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ รู้จักการพัฒนาตนเองให้ทันเสมอ ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ให้รอบด้าน ตรงจุดที่เหมาะสมกับภาระงานที่ใช้ ต้องรู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เมื่อมีความผิดหวังแม้จะไม่สบอารมณ์ เราก็ต้องรู้จักการให้อภัย ละวาง และระบายในบางส่วนบ้าง โดยมองให้ปัจจัยเป็นบวก การทำงานในเนื้องานบางครั้งก็อย่าใจร้อนมากเกินไป บางครั้งก็อย่าทำใจเย็นจนเสียการเกินไป เลือกใช้เวลาให้เหมาะสมและท้ายสุด ต้องรู้จักการให้ผู้อื่นอย่างมีสติ และมีจุดประสงค์ของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นอกเสียจากเป็นผลประโยชน์ของงานส่วนรวมเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง

1.สันติ ตั้งรพีพากร.ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ, ชีวประวัติ ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว นายแพทย์นักสู้ผู้อุทิศตนเองเพื่อวางรากฐานทางการแพทย์และสาธารณสุข.พิมพ์ครั้งที่ ๑ .สำนักพิมพ์สายธาร; ตุลาคม ๒๕๔๔.
2.หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตาจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร . พิมพ์ที่ ศุภวนิชการพิมพ์ กรุงเทพมหานคร; ธันวาคม ๒๕๓๘.

ประกาศคณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ